วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

A moment of life

เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก...
บทต่อคืออะไร ใครต่อได้เชิญ เพราะเราจำได้แค่นี้...แป่ว 55

สิ่งที่ระบุถึงความเป็นผู้หญิง นอกเหนือจากรูปร่างภายนอกที่แตกต่างจากเพศชายอย่างชัดเจน ก็เห็นจะเป็นมดลูก หรือที่มีไว้ตั้งครรภ์ หรือสร้างลูก สร้างคนรุ่นต่อๆ มานั้นเอง

หญิงสาวหรือไม่สาวหลายคนหวงแหนและภูมิใจที่ได้มีโอกาสได้ใช้มดลูกในการให้กำเนิดบุตร แต่ก็มีอีกหลายสาว ที่ไม่มีโอกาสได้ใช้งานแบบนั้น รวมถึงตัวข้าพเจ้าเอง

ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน ข้าพเจ้ามีอาการไม่ปรารถนาในร่างกายของข้าพเจ้า กล่าวคือ เวลาข้าพเจ้ามีรอบเดือน จะมืเลือดออกเยอะมาก จนเกิดภาวะซีด เป็นสภาวะร่างกายที่ร่างกายไม่สามารถผลิตเลือดได้ทันตามความต้องการ ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ไม่พอ พวกปลายประสาทจะไปก่อน เช่นมีอาการเสียงดังในหู เวียนหัวรู้สึกเหมือนบ้านหมุน เดินก็รู้สึกโคลงเคลงจะล้ม ต้องคอยหาอะไรจับไว้ตลอดเวลา จนไปหาหมอ ตรวจอยู่นานกว่าจะส่งต่อให้หมอสูตินารีแล้วพบก้อนเนื่้อรูปร่างผิดปกติเจริญเติบโตอยู่ชิดผนังมดลูก เป็นเหตุให้เสียเลือดมาก
หมอแนะนำให้ผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้องเพื่อตัดเฉพาะเนื้องอกออก เพราะยังอยากให้เก็บมดลูกอยู่ เผื่อได้ใช้งานในอนาคต

การผ่าตัดเปิดหน้าท้องนั้น จะกรีดเหนือหัวเหน่าเป็นทางยาวกว่าคืบ เจ็บปวดมาก พักฟื้นนาน 

จากวันนั้นจนวันนี้ 3 ปี เหตุการณ์ก็วนมาอีกครั้ง หมอให้ตัดสินใจเอง ว่าจะเก็บมดลูก หรือตัดทิ้ง 
ข้าพเจ้า ตัดสินใจตัดทิ้ง เนื่องจากคงไม่คิดที่จะมีทายาทในวัยขนาดนี้ ที่สำคัญยังไม่รู้ว่าชาตินี้ จะหาพ่อของลูกได้หรือไม่ 

หมอแนะนำให้ผ่าแบบส่องกล้อง จะมีแผลเป็นจุด 3 แผล ซ้าย ขวา และ เหนือหัวเหน่า ขนาดไม่ถึง 2 เซนและอีก 1 แผลในสะดือ..ซึ่งคงไม่มีใครแหวกสะดือตัวเองลงไปดูรูแผล 

หมอนัดไปอยู่โรงพยาบาลล่วงหน้า 1 วัน
เริ่มตั้งแต่ งดอาหารตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 14 กพ 59
พอเช้าวันจันทร์ที 15 กพ 59 ก็ไปตรวจเลือดตั้งแต่ 8:30 
หลังเจาะเลือด ก็ไปตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และเอ็กซเรย์ปอด 
จากนั้นก็ไปทานข้าว แล้วรอแอดมิด
เราได้ห้องตอน 11 โมง ซึ่งไม่อยากจะบอกว่าระวังที่นั่งรอห้อง ก็ติดหวัดจากเด็กๆ ไปเรียบร้อย ><~ 

หมอบอกถ้าไม่มีไข้ ก็โอเค ยังไม่ถึงกับต้องเลื่อนวันผ่าตัด

ชีวิตปกติสิ้นสุดตอน 2 ทุ่ม 
พยาบาลเริ่มมาสวนล้างทั้งด้านหน้าและหลัง
ด้านหน้านี่น้ำเกลือ 1 ขวดใหญ่ ส่วนด้านหลัง ก็น้ำเกลืออัดฉีดเข้าไปประมาณ 1 กำมือ
วิ่งเข้าห้องน้ำแทบไม่ทัน ==' 
ก่อนนอน น้ำมันระหุงอีก 1 ขวด 30 ซีซี
ตื่นมาก็ถ่ายท้องเพราะฤทธิ์น้ำมันระหุงอีก
งดอาหารหลังเที่ยงคืน ปกติก็หลับก่อนเที่ยงคืนอยู่แล้ว

พอ 8 โมงเช้าวันอังคารที่ 16 
พยาบาลก็มาสวนล้างด้านหน้า-หลังอีกรอบ ทรมานใช้ได้ จากนั้นก็อาบน้ำ (เพราะจากนั้นก็ไม่มีแรงอาบอีกหลายวัน) แต่งตัว แล้วก็บอกพยาบาลให้มาใส่น้ำเกลือ ก่อนจะถูกเข็นไปห้องผ่าตัดตอน 9 โมงกว่า 
ชีวิตกับสายน้ำเกลือนี่ลุ้นตลอด เลือดชอบย้อนขึ้นมา ดูแล้วเสียวพิลึก พยาบาลต้องคอยบอกให้วางมือแขนให้ขนาดกับพื้น  

10:30 ได้ฤกษ์เข็นเข้าห้องผ่าตัด
แสงไฟสว่างจ้างจนแสบตา หลอดไฟสาดส่องมาจากทุกสารทิศ ห้องสีขาวโพลน เครื่องมือทางกานแพทย์จัดวางอยู่โดยรอบ ตัวข้าพเจ้าบนเตียงผู้ป่วย ต้องย้ายตัวเองให้ไปนอนบนเตียงผ่าตัด จากนั้นก็ถูกถอดเสื้อผ้าออกหมด เหลือแต่ร่างเปล่าๆ อยู่ใต้ผ้าห่มสีเขียว 
พยาบาลคนหนึ่งมาใส่ปลอกแขนวัดความดันที่ต้นแขนด้านขวา เครื่องนี้จะวัดเองทุก 1 นาที (มั้ง) 
จากนั้น ก็จะเอาป้ายมาแปะๆ แถวๆ หัวใจ แล้วก็หนีบที่ปลายนิ้วมือ จากนั้น ก็มีผ้าพันหัว

อุปกรณ์ต่างๆ เริ่มทยอยเข็นเข้ามา ข้าพเจ้าว่างๆ ก็หายใจดูหัวใจเต้นไปพลางๆ 
ถ้าเราหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ หัวใจจะเต้นได้ช้าถึง 54 ครั้งต่อนาที แต่ถ้าเราหายใจเข้าออกสั้นและเร็ว หัวใจจะเต้นเร็วขึ้นเป็น 84 ครั้งต่อนาที 
ข้าพเจ้าเล่นได้สักพัก ก็เริ่มหันมาสนใจอุปกรณ์ต่างๆ ที่เริ่มเข็นเข้ามาในห้องผ่าตัด
ห่อผ้าสีเขียวมากๆ วางกองกันหลายคันรถ เข็นเข้ามา
พยาบาล 2 คนช่วยกันแกะออกอย่างชำนาญ วางอุปกรณ์ไว้ตามที่ต่างๆ ข้าพเจ้ามีคีบ ผ้าซับ ยาแดง น้ำเกลือ 
พอใกล้เวลา 11 โมงเช้า หมอเดินเข้ามาตบเบาๆ ว่าโอเคน้า ไม่เป็นไรน้า จากนั้นก็เอายาสลบวางเหนือจมูก แค่ 2 ปื้ดเท่านั้น โลกก็ดับวูบลง

15:00 น. ในห้องพักฟื้น ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาด้วยอาการหนาวสั่นของร่างกาย สั่น สั่นมาก แต่ขยับไม่ได้ พูดไม่ออก เป็นอาการหนาวทางร่างกายที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่ไม่ได้รู้สึกหนาวแบบที่เรารู้สึกอยากได้ความอบอุ่น สักพัก ก็หลับ
15:30 ตื่นเพราะสั่นอีก คราวนี้เริ่มส่ายหัว ปรับสายตา และเปล่งเสียงได้ "หนาว" คือสิ่งเดียวที่พูดได้ และก็หลับ
16:00 ตื่นเพราะเสียงข้างเตียงร้องทรมานเหลือเกิน หันไปมองทางขวา คนไข้มีผ้าพันรอบหัว แต่เหมือนหูจะหายไป มีรอยเลือดกรังอยู่รอบหู พอหันซ้ายก็เจอรอยยิ้มจากป้าเตียงข้างๆ ข้าพเจ้าก็ยิ้มหวานที่สุดในชีวิตส่งกลับไปให้คุณป้าท่านนั้น แล้วข้าพเจ้าก็หลับไป
16:30 ตื่นเพราะอาการหนาว พยาบาลน่าจะเอาท่อร้อนออก ข้าพเจ้าเลยหนาว ตอนนี้เริ่มขยับมือเท้าได้ เริ่มรู้สึกแสบร้อนกระเพาะ แต่พยาบาลก็ให้กินอะไรไม่ได้ จากนี้ ไม่นอนแล้ว ปวดท้องมาก พยาบาลบอกเกิดจากแก๊สที่อัดเข้าท้องไปตอนผ่าตัด ต้องนอนหัวสูงๆ ไว้จะได้ไม่ปวด

17:00 ช่วงเวลานรกเกิดขึ้นแล้ว 
พยาบาลใส่เสื้อปิดท่อนบนให้ แล้วก็เข็นกลับห้อง ช่วงเวลาเปลี่ยนเตียงจากห้องผ่าตัดไปเตียงธรรมดาคือทุกข์ขนัด เพราะหัวเตียงต่ำมาก เจ็บจะตาย เข็นรถไปตามพื้นขรุขระแบบไม่เบามือ ได้ยินเสียงพูดคุยระหว่างทางว่าไม่น่าเจ็บถึงเพียงนั้น ดูเอาเถิดคนเรา ไม่ลองมาโดนผ่าตัด ก็คงไม่รู้หรอก ว่าแล้วก็ได้แต่แผ่เมตตาให้คนคนนั้น และไม่คิดนำกลับมาใส่ใจ
พอช่วงเปลี่ยนเตียงมาในห้องคนไข้ที่เรานอนตอนแรก นรกกว่าเดิม เพราะต้องนอนราบแต่งตัวก่อน โอ้โห้ อาการน้ำท่วมปอดของคนใกล้ตายเป็นอย่างไรก็ได้รู้กันวันนั้นเอง 
ก่อนที่จะคิดว่าข้าพเจ้าได้เวลาลาจากโลกนี้ไปเสียที พยาบาลก็ปรับหัวเตียงให้สูงขึ้นแล้วก็จากไป 
แล้วข้าพเจ้าก็หลับ

ช่วงนี้ เวลาเริ่มไม่มีความหมาย ความเจ็บจากแก๊สที่ยังวนอยู่ในท้อง ความปวดจากแผลที่เริ่มคลายยาชา ความรู้สึกถึงสายยางต่อตรงจากกระเพาะปัสสาวะ ความกังวลเรื่องเลือดย้อนตรงสายน้ำเกลือ ทำให้ไม่อยากกระดิกตัวไปไหน ได้แต่นอนนิ่งๆ จนถึงรุ่งเช้าของอีกวัน

พุธที่ 17 กพ 59
นอกจากพยาบาลที่มาคอยวัดความดัน+ไข้ ตลอดเวลาแล้ว ก็มีพยาบาลที่คอยมาฉีดยาฆ่าเชื้อ+แก้ปวด 
พอเช้าตรู่ก็มีอาหารเช้าเป็นน้ำซุป 1 แก้ว น้ำข้าวต้ม 1 แก้ว น้ำผลไม้ 1 แก้ว 
ข้าพเจ้าเริ่มจิบทีละ 1 คำ ผ่านไป 2-3 นาทีค่อยจิบอีกคำ ค่อยๆ จิบไปทีละน้อย จนท้องอืด ก็แลดูน้ำซุปแก้วแรกยังไม่พร่องเลย
พยาบาลมาเช็ดตัว พลิกตัวครั้งแรกเจ็บมาก แต่พยาบาลก็ทำอย่างเบามือและบอกให้พลิกตัวบ่อยๆ (ผลจากการไม่พลิกตัวในวันแรกอีก 2 วันต่อมาเลยเป็นเหมือนแผลกดทับ แดงคันบริเวณกลางก้นซ้ายขวาทรมานไปอีก)
ช่วงเที่ยงหมอมาหา บอกผ่าตัดเรียบร้อย เอารูปลูกให้ดูน่ารักน่าชังเชียว ใหญ่ขนาดคนท้อง 4 เดือน แล้วก็ให้เราพักผ่อน
ช่วงบ่าย พยาบาลมาถอดสายปัสสาวะออก สิ่งแรกเลยคือเดินลงเตียงไปปัสสาวะเอง 5555 แล้วก็ค่อยๆ เริ่มเดินพร้อมสายน้ำเกลือ 
แต่เดินได้ไม่มาก เท้ายังยกไม่พ้นพื้น เดินเหมือนเด้ดโน้ตมาก ก้มตัวเดิน ยืดไม่ได้ เจ็บแผล

อาหารเที่ยงเริ่มเป็นอาหารอ่อน คือข้าวต้ม...แล้วก็ได้กินอาหารอ่อนตลอด 5 วัน =='
ข้าพเจ้ากินได้ทีละ 5-6 คำ ก็อืดท้อง ต้องหยุดกินแล้วก็เดินๆๆ ให้ลำไส้ทำงานจะได้ผายลมเอาแก๊สในท้องให้ออกไป 
ข้าวต้ม 1 ถ้วย แบ่งกิน 4 รอบ เพราะกินน้อย เลยหิวทุก 2 ชั่วโมง
วันแรกแห่งการเดิน..ไม่ได้ผล ลมไม่ยอมออก นอนหัวสูงต่อไป

พฤที่ 18 กพ 59
อาหารเช้า-กลางวัน-เย็น ยังคงเป็นข้าวต้มหมู-กุ้ง-หมู
เนื่องจากข้าพเจ้าทานข้าวได้ดี ไม่มีอาเจียร ช่วงบ่ายหลังน้ำเกลือหมด เลยได้เป็นอิสระจากแท่นน้ำเกลือเสียที หัดเดินได้มากขึ้น เดินได้ไกลขึ้น ความพยายามในการผายลมประสบความสำเร็จในช่วงหัวค่ำ แต่แผ่วเบาเหลือเกิน เลยยังมีอาการปวดท้องจากแก๊สและท้องอืดอยู่
แต่วันนี้มีอากานคันก้นเพิ่มเติม เนื่องจากข้าพเจ้ลนอนหงายทับก้นมาตลอด ไม่ได้นอนตะแคงเนื่องจากเจ็บแผล ดีว่าเตรียมคารามายมาเผื่อได้ทาเพราะคราวแล้วพอแกะสายน้ำเกลือออกจะบวมแดงคันบริเวณที่ติดเทป 
ทาคารามายที่ก้นไปสักครึ่งวันก็หายคัน

ศุกร์ที่ 19 กพ 59 
ทุกอย่างเริ่มเป็นปกติ สิ่งที่รอมานานก็มานั่นคือ การถ่ายตอนเช้า 2 รอบ ^^
แต่อาการเวียนหัวโลกหมุนอยากอาเจียรหลังทานข้าวก็โผล่มาแทน 
ตกดึก หมอให้ยาสลบช้างมาทาน เป็นผลให้หลับเป็นตายตั้งแต่ 3 ทุ่มจนถึง 9 โมงเช้า แต่อาการทุกอย่างก็หายไปเช่นกัน

เสาร์ 20 กพ 59 
เวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหก ชีวิตนั่งกินนอนกินจบลงแล้ว หมอให้กลับบ้านได้ช่วงเที่ยง หมอทำแผลให้เพราะข้าพเจ้าบอกหมอว่าคันแผล หมอเปิดแผลดูแล้วบอกแห้งดีไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แล้วก็ทำแผลให้ใหม่

หลังพยายามกินของให้หมด จ่ายเงินให้เรียบร้อย รับยา ก็เดินทากลับบ้ายโดยสวัสดิภาพ แล้วนัดเจอหมออีกทีศุกร์หน้า
ชีวิตหลังไร้มดลูก ก็เบาสบายไร้กังวลดีเนอะค่ะเนอะ ^^