วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2559

Europe Trip Day 20 : Berlin

เสาร์ที่ 25 กันยายน 2558
วันนี้ เดินทางไปกลับเบอร์ลินค่ะ

ที่จริงก็กะจะใช้ชีวิตสบาย ๆ ที่มิวนิค
แต่อยู่ดี ๆ ในสายของวันหนึ่ง..คุณพ่อก็เห็นสารคดีกำแพงเบอร์ลิน ก็เลยอยากไป
นี่ก็เลยต้องหาวันให้คุณพ่อ

หลังจากทานอาหารเช้าอันแสนหรูแล้ว ก็ออกเดินทางแต่เช้าตรู่กันเลย
นี่เป็นการซ้อมการเดินทางไปสนามบินของเราในวันกลับ
ว่าการที่เราต้องไปพร้อมกระเป๋าเดินทางด้วย จะลำบากกันขนาดไหน


สภาพถนน ไม่ต่างอะไรจากเมืองไทยหลังเวลาเลิกงานเทศกาลนะ แต่พอเช้ามาก็สะอาดดี


ลงบันไดเลื่อนทางขวาไปตามรูปเครื่องบินเลย


มาถึงแล้ว ตี่ตาหาไฟล์ทเราสักหน่อย


กระเป๋ามีแค่นี้เอง


ไปไฟล์ทนี้นะ


นั่งรอเรียกขึ้นเครื่อง


มาคราวนี้ เราไม่เอารถเข็นนะเออ บอกป๊าว่า อยากเดินดูวิวชิล ๆ บ้างไรบ้าง ป๊าก็โอเค






ชอบหน้านายแบบเหลือเกิน ^_^





ถึงแล้วววว เบอร์ลิน


จอดแล้วก็ลง แล้วก็เดินเข้าตึก ทำไมสนามบินเล็กจัง


แต่คนแน่นไปไหน


เดินไปตามลูกศร


กำลังปรับปรุงพื้นที่อยู่ ป๊าชอบการทำพื้นแบบนี้มาก


ไปซื้อตั๋ววันกับพนักงานกันก่อน แล้วแถวคือยาวมาก รอคิวเกิน 30 นาทีอ่ะ



จากนั้นก็ จะไปทางไหน ก็ไปรอตรงป้ายนั้น
เราจะไป Hauptbahnhof หรือสถานีรถไฟ ก็รอที่นี่เลย


มีเจ้าหน้าที่เดินมาหา คว้าตั๋วเราไปปั๊ม แล้วก็เดินจากไป ตอนแรกงง ๆ นึกว่าโดนพวกขโมยจู่โจม
เพราะพี่ท่านเล่นไม่พูดไรด้วย แต่หลังจากนั้นพี่ท่านก็ยิ้มหวานให้แบบ ตกใจหล่ะซี่ 555 ไรงี้


คน รอ เยอะ มากกกก ที่นี่ไม่มีคำว่าน้ำใจนะคะ สงครามในการเอาชีวิตรอดเท่านั้น ที่จะทำให้เราขึ้นรถได้



ได้ขึ้นรถแล้ว หลังจากได้เรียนรู้ว่า บางที น้ำใจ ก็ไม่เหมาะกับบางสถานการณ์ 5555+
ดูวิวไปพลาง ๆ 


ถึงแล้ว สถานีรถไฟ แต่นี่ถ่ายรูปวิวกับแม่น้ำ แถว ๆ นั้นก่อน






แต๊แน้....





กำแพงเบอร์ลินเท่านั้น ที่พ่อต้องการ Brandenburger Tor โลด


                                                                ลงมาด้านล่างแล้ว







รถไฟมาแล้วจ้า
คาดว่ามีขบวนเดียว วิ่งไปมา เพราะเจ้าหน้าที่รถไฟ มีคนเดียว เดินหัว-ท้ายขบวน


คิดอีกที มีแค่ 3 สถานีเอง งั้น แวะลงสถานีอีกอันก็แล้วกัน อยากรู้ว่ามีอะไร


เผื่อใครไม่รู้ว่ามีกล้องจับอยู่


ถึงแล้ว


เดินขึ้นมาก็เจอตึกนี้
อาคารรัฐสภาไรช์ทาก (Reichstag Building)
เห็นด้านข้างเค้ากำลังก่อสร้าง เลยไม่ได้เดิมอ้อมไปถ่ายรูปด้านหน้าเลย


แน่นอน พ่อจะถ่ายรูปกับตึกมีเสาด้านหลัง


ต้องชัด ๆ ด้วย 55+




เป็นตึกของสถานศึกษา


ป่ะ กลับลงไปต่อ


ตลกอ่า


รอรถไฟมา เจอลุงขับรถคนเดม


มาอีก 1 ป้าย ก็ถึงแล้ว




กินมื้อเช้าอีกรอบ


กินเสร็จ ก็ไปเดินถ่ายรูปที่ประตูบรันเดนบวร์ก (Brandenburg Gate)
ประตูนี้เดิมเป็นประตูเมือง ผ่านเหตการณ์สำคัญมามากมาย 
จนมาเสียหายอย่างหนักจากสงครามโลกครั้งที่สอง 
ได้รับการบูรณะซ่อมแซมครั้งใหญ่ในช่วงค.ศ 2000-2002 จนกลับมาดีเหมือนเดิม 
ปัจจุบันกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมือง เป็นสถานที่จัดงานสำคัญ 
เช่น ค.ศ 2011 ก็มีการจัดงานรำลึก 50ปี กำแพงเบอร์ลินที่นี่ 
รวมทั้งเป็นจุดนัดพบของนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ท่านๆ ที่แวะมาเยี่ยมเยียน




มีงานอะไรไม่รู้ มีทุกวัน หรือมีเฉพาะวันนี้ก็ไม่รู้









เห็นเด็กถ่าย


พ่อก็อยากถ่ายบ้าง 55+


เดินต่อไปอีกนิดเดียว ก็ถึง
อนุสรณ์ที่รำลึกถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว (Memorial to the Murdered Jews of Europe ) 
ตั้งอยู่ริมถนน ที่นี่จะเป็นแท่งคอนกรีต 2711แท่ง รูปร่างสูงต่ำต่างๆ กันไป เรียงรายเป็นแถวเป็นแนว 
กินพื้นที่ประมาณ 11 ไร่ จุดมุ่งหมายของคนออกแบบคือเพื่อสร้างความรู้สึก ถึงความไร้เหตุผล ความไม่แน่นอนและความงุนงงสังสัย (a feeling of groundlessness and instability; a sense of disorientation) 



ก็สงสัยจริงๆ นั้นแหระ


อันนี้เห็นป้าย เลยถ่ายมา อยากไปเหมือนกัน แต่ไม่ได้ไป


เดินกลับ




หิวข้าวแล้ว แวะกินอะไรหน่อยดีกว่า





จัดใหญ่ค่ะ แต่ดูหน้าตาอาหารเหมือน ๆ เดิมนะ 55+


ออกเที่ยวต่อ



เราจะไปรถไฟใต้ดินกันอีกแล้วค่ะ


มาสถานีนี้นะ 




มาทำไมหน่ะเหรอ มาหลงไง 555+
ไม่ใช่หล่ะ มาหากำแพงเบอร์ลิน แต่เจอคุณคนนี้ซะก่อน



ที่นี่คือ เช็คพอยท์ชาร์ลี (Checkpoint Charlie) 
หลังจากเยอรมันแพ้สงครามโลกแล้วก็โดนแบ่งเป็นสองประเทศ 
กรุงเบอร์ลินก็โดนแบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยกำแพงเบอร์ลิน 
ตามแนวกำแพงที่กั้นระหว่างเบอร์ลินตะวันออกและตะวันตก 
มีการเปิดจุดข้ามแดนเป็นระยะ ประมาณ 9 จุด ซึ่งเรียกว่าเช็คพอยท์ 
คำว่าชาร์ลี (Charlies) ก็มาจากตัวอักษร C ซึ่งเป็น spelling alphabets ตามมาตรฐานของ Nato 
เช็คพอยท์ชาร์ลี ณ วันนี้ก็เหลือเพียงป้ายและป้อมทหารจำลอง และมีคนแต่งกายคล้ายทหารมาอาสาประทับตราข้ามแดน (เลียนแบบ) ลงบนพาสปอร์ตของนักท่องเที่ยวไว้เป็นที่ระลึก


แต่เนื่องจากต้องเสียเงินในการถ่ายรูป ป๊าเลยบอก งั้นถ่ายจากข้างหลังเอาก็แล้วกัน
คนต่อคิวถ่ายรูปเยอะมาก


ในบริเวณนั้นก็จะเจอ







จากนั้น เราก็ไปหากำแพงเบอร์ลิน ซึ่ง..คนเยอรมันที่นี่ พูดอิ้งไม่ได้เลย
แล้วภาษาเยอรมันของเราก็คืนครูไปหมดแล้ว
เจอคนแรก พูดเยอรมันนานมากกกกกกกกกกกกกก สรุปแบบไม่รู้เรื่อง T_T
ประมาณว่ามันมีหลายที่อ่ะ บอกไม่ถูกว่าจะให้ไปดูที่ไหน แบบนั้น

รอสักพัก ก็เจอฝรั่ง พ่อเข็นรถเด็กมีลูก กับแม่ พ่อใจดีตอบ คิด ตอบ ชี้ทางอธิบาย
พ่อเป็นนักท่องเที่ยวที่อยู่ที่นี่ เลยพูดอิ้งได้ แต่ดุแม่ ไม่ค่อยอยากให้ช่วยเราเท่าไหร่ 
แต่พ่อก็ตอบเหมือนคนแรกว่ามันมีเยอะ ฉันแค่คิดอยู่ว่า จะแนะนำให้เธอไปดูที่ไหนดี สุดท้าย ก็คือให้ไปดูที่ ๆ เราจะไปต่อไปนี้ ขอบคุณมาก ๆ นะคะ ^_^
เดินมาตั้งนาน กว่าจะเจอถนนนี้


และกำแพงเบอร์ลินที่รัก












กำแพง และ บอลลูน


เตรียมตัวเดินกลับได้



แนวกำแพงเดิม



มีนำเที่ยวด้วยรถนี้ด้วย


จากนี้ เราก็นั่งรถบัสเที่ยวรอบเมืองกัน










ต้องไปเปลี่ยนสายที่มีรูปเครื่องบิน



ลวดลาย


พอถึงช่วงเปลี่ยนจากรถไฟ เป็นรถบัสไปสนามบิน
ก็ได้เห็นสงครามกันอีกครั้ง คือ ถ้าเราใจดีให้คนหนึ่งไปก่อน อีกหลายคนจะแย่งขึ้นหมด
สุดท้าย เราต้องรอต่อไป แล้วคือ แต่ละคนกระเป๋าเยอะมาก ชนกันแบบจริงจัง 
เจ็บจริงไรจริง ผู้หญิงผู้ชายเท่าเทียม ไม่มีการลุกให้นั่ง แม้แต่คนแก่
แต่สุดท้าย เราก็ต้องเอาตัวรอดกลับมาได้
รู้สึกดีใจ ที่ไม่ได้เอากระเป๋าใหญ่มา

ถึงสนามบินแล้ว



หิวแล้ว เลยเดินหาอะไรกิน ตอนแรกว่าจะกินร้านนี้ น่าจะอร่อยคนเยอะ


แต่รอนานอ่ะ รู้แล้ว ที่คนเยอะเพราะนานนี่เอง 


*รอนานนะพิมพิ์ผิด

เห็นอยู่ที่พื้นข้างร้าน



กินไรดี




สุดท้าย ได้มานั่งกินสลัดที่ร้านร้านหนึ่ง เพื่อรอเวลา



ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว เข้าเกทได้
นี่ซื้อในเกท นึกว่าจะอร่อย..โน้ววว ดูดคำเดียว ยกให้ป๊าค่า


ไปไฟล์ทนี้นะ


ระหว่างรอก็เห็นแบบนี้นะ
ฝรั่งก็ขี้นินทานะ จะบอกให้ 
เราไม่อะไรหรก แค่แอบถ่ายรูปเธอไว้เป็นที่ระลึกก็พอ
ว่าโดนนินทาแบบระยะเผาขน เป็นเวลานานมาก
ตอนแรกก็กะจะคุยให้รู้เรื่องอะนะ  ว่าจะเม้าท์อะไรกันหนักหนา
แต่ป๊าบอก มาเที่ยวน้า ไม่ต้องสนใจคนอื่นหรอก


นี่คือสิ่งที่เกี่ยวกับประเทศไทย ในนิตยสาร บนเครื่องบิน


ถึงมิวนิคแล้วค่า


เดินทางกลับโดยรถไฟ ถึงโรงแรมโดยสวัสดิภาพ นอน...
























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น